ผมตั้งหน้าตั้งตาทำงานในตำแหน่ง
"พนักงานรักษาความสะอาด" เรือนรับรองของเจ้าชายไฟซาล ซึ่งอยู่ห่างจากพระตำหนักของเจ้าชายเพียงแค่ถนนกว้าง
20 เมตร ขวางกั้นไว้เท่านั้น เกรียงไกรเอื้อนเอ่ยสืบต่อหลังจากหยุดพักด้วยการจุดบุหรี่สูบอีกมวน
ส่วนสาเหตุที่ต้องตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ก็เพื่อจะเก็บเงินใช้หนี้ที่หยิบยืนเขามา
เมื่อคราวถูกโกงไฮโลน่ะแหละ ดูเหมือนว่าผมทำงานได้ 6 เดือน ก็ใช้หนี้หมด
เพราะในช่วงแรก ๆ ที่ไปทำงานในเรือนรับรองนั้น เจ้าหน้าที่รักษาการณ์พระตำหนักเจ้าชายไฟซาลกวดขันมาก
และการทำงานที่นี่ ผมทำแบบไปเช้าเย็นกลับ มีการตอกบัตรเข้าออกตามเวลาที่กำหนด
เพราะที่พักของผมอยู่ห่างจากพระตำหนักประมาณ 7 กิโลเมตร เช้าก็มาทำงานพอเย็นก็กลับที่พักโดยมีรถรับส่งให้เสร็จ
และอาจจะเป็นเพราะผมตั้งใจทำงานนี่เอง หลังจาก 1 ปีผ่านไป ผมก็ได้เลื่อนตำแหน่งจากพนักงานธรรมดา
มาเป็นหัวหน้าพนักงานของเรือนรับรอง เนื่องจากหัวหน้าผมคนก่อนซึ่งเป็นคนฟิลิปปินส์ลาออกเพื่อกลับบ้านของเขา
ผมก็เลยได้เลื่อนตำแหน่งแทน ก็นับเป็นโชคดีของผมพอตัวเหมือนกัน เพราะการที่จะได้เลื่อนตำแหน่งมีหน้าที่คอยสั่งงานกับลูกน้องอีก
7-8 คนนั้น จะต้องมีมูลเหตุหลายประการคือต้องเก่งงาน ต้องเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจ
และต้องพูดภาษาอาซุฯ ได้บ้าง คุณสมบัติเหล่านี้ผมดีกว่าคนอื่นก็เลยได้เลื่อน
เกรียงไกรเอื้อนเอ่ยถึงตอนนี้ ประกายตาของเขาก็ปรากฏแววแห่งความภูมิใจฉายแสงออกมา
"พอได้เลื่อตำแหน่งเป็นหัวหน้า ผมก็ยิ่งขยันทำงานมากขึ้นด้วยการทำหน้าที่อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง
จึงเป็นที่ชื่อชอบของบรรดาเจ้านายที่ทำงานในพระตำหนักของเจ้าชายแต่แม้จะได้เลื่อนเป็นหัวหน้าและเป็นที่ชื่นชอบของเจ้านาย
ผมก็ยังต้องกลับไปพักที่บ้านพักคนงานเหมือนเดิม ซึ่งผมก็พอใจเพราะช่วงกลางคืนหลังเลิกงานแล้ว
ผมอยากจะไปไหนมาไหนก็ได้ สุมหัวเล่นการพนันในหมู่คนงานไทยด้วยกันก็ได้เป็นอิสระดี
และผมก็ทำงานเป็นหัวหน้าพนักงานทำความสะอาดเรือนรับรองของเจ้าชายต่อมาอีก
3 ปี จนเป็นที่คุ้นเคยต่อบรรดาเจ้านายในพระตำหนักแทบทุกคน แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจยาม
ตลอดทั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ผมคุ้นเคยหมดพร้อมเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจต่อทุกคนอีกด้วย
ดังนั้นการเข้มงวดต่อผมเหมือนครั้งแรก ๆ ก็ค่อย ๆ ลดน้อยลง เนื่องจากผมทำงานอยู่ที่นี่นานปีนั่นเอง
แล้วที่มีคนบอกว่าเกรียงไกรสนิทชิดชอบกับเจ้าชายไฟซาลล่ะ เท็ดจริงเป็นเช่นไร
(ผู้เขียนถามขัดขึ้น) "เรื่องนี้ไม่จริงครับ" เกรียงไกรสวนทันควัน
"ผมจะมีโอกาสได้รับใช้เจ้าชายก็ต่อเมื่อท่านมาสังสรรค์กับบรรดาพระสหายที่เรือนรับรองเท่านั้น
ซึ่งก็นาน ๆ จึงจะมาสักครั้งไม่ได้มาทุกวันทุกคืน และในตำหนักของเจ้าชายซึ่งอยู่ห่างจากเรือนรับรองแค่ถนนกั้น
ผมก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่ง เพราะเขาก็มีคนดูแลแล้วเป็นผู้หญิงเสียส่วนมาก
และก็เป็นคนซูดานหรือไม่ก็ซาอุณ นี่แหละ" ในเมื่อเกรียงไกรไม่ได้เข้าไปยุ่งในตำหนักของเจ้าชายแล้วทำไมรู้ล่ะ
ว่าห้องเก็บเครื่องเพชรเขาอยู่ตรงไหน หรือมีคนบอก? (ผู้เขียนถามอีกอย่างสงสัยเต็มที่)
"คือยังงี้ครับ....ตามปกติแล้วพระตำแหน่งของเจ้าชายก็จะมีพวกผู้หญิงเป็นคนคอยทำความสะอาด
พวกผมไม่มีสิทธิ์ที่จะเดินเข้าไปภายในได้เลย ยกเว้นวันไหนที่เจ้าชายและพระชายาเสด็จต่างประเทศหลาย
ๆ วันน่ะแหละ พวกเขาจึงจะมาเกณฑ์พวกผมไปช่วยทำความสะอาด เป็นต้นว่า
ซักพรม โซฟา ตลอดทั้งขัดห้องน้ำ เช็ดถูกพวกหลอดไฟฟ้า ซึ่งการจะทำความสะอาดพวกนี้ก็ต้องใช้เวลาหลายวัน
และเขาจะเกณฑ์พวกผมไปทำวันละ 4 คนเท่านั้น เพื่อจะดูแลได้ทั่วถึง โดยมีผู้หญิงที่เป็นหัวหน้าคนงานในพระตำหนักคอยควบคุมดูแลอีกที
ซึ่งทุกปีผมก็จะได้เข้าไปทำ เพราะเขาต้องเลือกเอาคนที่เก่งงานจริง
ๆ" เกรียงไกรชี้แจงอย่างละเอียด ผู้เขียนจึงเข้าใจและด้วยเหตุนี้เอง
เกรียงไกรจึงมีโอกาสได้เข้าไปพระตำหนักของ "เจ้าชายไฟซาล"
พร้อมกับได้รู้ถึงห้องต่าง ๆ ว่าเป็นห้องสำหรับอะไรบ้าง "แล้วพระตำหนักของเจ้าชายไฟซาลที่เกรียงไกรเข้าไปขโมยเพชรใหญ่โตมั๊ย
มีกี่ห้อง ภายในตกแต่งสวยงามแค่ไหน?" (ผู้เขียนป้อนคำถามอีก)
"ใหญ่โตมากครับ ถ้าเป็นบ้านเราก็ต้องเรียกว่าใหญ่กว่าคฤหาสน์กันเลย
เพราะเป็นตึกหินอ่อนสองชั้น มีห้องต่าง ๆ กว่า 20 ห้อง ประตูหน้าต่างก็ใช้ระบบเปิดปิดด้วยไฟฟ้า
ส่วนภายในไม่ต้องพูดถึงตกแต่งสวยงามมากด้วย ของมีค่าราคาแพงทั้งนั้น"
เกรียงไกรตอบอย่างไม่ต้องขบคิด "ในเมื่อประตูหน้าต่างเขาใช้ระบบไฟฟ้า
เกรียงไกรเข้าไปขโมยได้ยังไง หรือว่าทำการตอนกลางวัน แล้วมีใครร่วมมือด้วย"
(ผู้เชียนถามต่อ) "เรื่องมันยาวครับ และเรื่องก็ผ่านมาตั้ง 5-6
ปีแล้ว ผมต้องขอทบทวนให้ละเอียดอีกนิด ขึ้นตอนมันมากพอควรทีเดียว"
เกรียงไกรตอบจบก็หยุดคิดทบทวนไปอึดใจใหญ่ ๆ จึงเริ่มสาธยายเหตุการณ์อันน่าระทึกและสุดแสนมหัศจรรย์แก่ผู้ได้รับฟัง
"ในราวต้นปี 2531 เจ้าชายไฟซาลและพระชายาได้เสด็จไปต่างประเทศ
ซึ่งจะเป็นประเทศไหนนั้น คนงานอย่างพวกผมไม่มีสิทธิ์รู้ด้วยนะ กระทั่งประมาณเดือนมิถุนายนของปีนั้นแหละ
ผมก็ได้รับคำสั่งให้ไปทำความสะอาดในพระตำหนักของเจ้าชายไฟซาล โดยเขาคัดเลือกเอาเฉพาะคนที่เก่งงานและขยันขันแข็งเข้าไปช่วยกันทำแค่สี่คน
ผมและเพื่อนคนงานอีกสามคนจึงได้เข้าไปทำความสะอาดตั้งแต่ชั้นล่างไปจนถึงชั้นบน
งานใหญ่ ๆ ที่ต้องใช้เวลาทำเป็นเดือน ๆ ก็คือ งานซักพรม เพราะต้องซักกันแบบสด
ๆ ที่พื้นห้องเลยโดยไม่ต้องรื้อออกมาซักข้างนอก และห้องหนึ่ง ๆ ก็ต้องซักกันสองสามเที่ยวจึงจะสะอาด
และระหว่างซักพรมก็จำเป็นจะต้องเปิดหน้าต่างทุกบานไว้ เพื่อไล่กลิ่นเหม็นกลิ่นสกปรกออก
พร้อมให้ลมจากข้างนอกพัดผ่านเข้าไปภายใน พรมจะได้แห้งเร็วขึ้น และในระหว่างการซักพรมนี่เอง
ผมก็มีหน้าที่ต้องเป็นผู้คอยเปิดปิดหน้าต่างและประตูพระตำหนักอีกด้วยเพราะเป็นหัวหน้า
ผมก็เลยได้รู้หมดถึงกลไกในการเปิดปิดว่าสวิตช์ไฟแต่ละห้องอยู่ตรงไหน
ตลอดเวลาที่พวกผมเข้าไปทำความสะอาด ก็จะมีผู้หญิงชาวซูดานที่เป็นผู้ดูแลพระตำหนักของเจ้าชายเป็นคนคอยควบคุมอีกที
หากตรงไหนที่พวกผมทำงานไม่เรียบร้อย เขาก็จะมาสั่งให้ทำใหม่ พร้อมคอยตรวจตราดูตอนเลิกงานว่าพวกผมมีใครหยิบฉวยของมีค่าแบบคนมือไวใจเร็วออกไปด้วยหรือไม่
โดยเฉพาะห้องบรรทมของเจ้าชายซึ่งในนั้นจะมีห้องเก็บสมบัติและมีตู้เซฟอยู่ด้วย
เขาก็ระมัดระวังมากขึ้น แต่มีอยู่วันขณะผู้หญิงซูดานเผลอ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นภายในห้องเก็บสมบัติของเจ้าชายมีอะไรบ้าง
ผมก็แอบไปเปิดดูแล้วเข้าไปข้างในพร้อมกับเปิดตู้เซฟ ปรากฏว่าเปิดออกอย่างง่าย
ๆ เพราะเขาไม่ได้ล็อกกุญแจแต่อย่างใด และทันทีที่ผมเปิดตู้เซฟใบแรกในจำนวน
4 ใบ และใหญ่ขนาดตู้เย็น 8 คิว ผมก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ เพราะภายในตู้เซฟ
เต็มไปด้วยพวกสร้อยเพชร สร้อยทองส่องแสงแวววาวเหลืองอร่ามไปหมด แถมมีเงินทั้งดอลล่าร์สหรัฐและเงินริยาดอีกด้วย!!!
พอเห็น ผมก็เกิดความโลภอยากได้ทันที แต่ในเวลาเช่นนั้นผมไม่มีทางเอาได้
ต้องรีบปิดตู้เซฟไว้จุดเดิม พร้อมออกมาจากห้องเก็บสมบัติอย่างเร็ว
ๆ เพื่อไม่ให้ผู้หญิงชาวซูดานรู้ว่าผมแอบเข้าไป จากนั้นผมก็ทำงานตามปกติ
แต่ในใจผมกลับว้าวุ่นร้อนรน พร้อมกับเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้น "ความคิดชั่วร้ายที่ว่า
คงเป็นเรื่องที่อยากเข้าไปขโมยใช่ไหม?" (ผู้เขียนดักคอ) เกรียงไกรพยักหน้ารับอย่างยอมจำนนด้วยสีหน้าซึม
ๆ เช่นคนสำนึกผิดก่อนชี้แจง "อย่างที่ผมเคยบอกไว้นะแหละ ความตั้งใจครั้งแรกอยากได้เงินมากกว่าพวกเครื่องเพชรเพราะมาทำงานที่ซาอุณ
หลายปีแล้ว ยังไม่มีเงินเพื่อเก็บไปตั้งตัวที่บ้านเมืองไทยได้เลย ผมจึงคิดจะหาทางเข้าไปขโมยเงินในตู้เซฟให้ได้
เพราะมีจำนวนมากพอดูทีเดียว และอีกอย่างในตอนนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า
ทำไมถึงคิดอยากขโมยเงินของเจ้าชาย ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่ากฏหมายที่นั่นมันรุนแรงมาก"
"แล้วตอนเข้าไปขโมย ทำยังไงล่ะถึงเข้าไปขโมยได้ ไม่มีใครเห็นเลยหรือ?"
(ผู้เขียนป้อนคำถามไปเรื่อย เพื่อล้วงความลับออกมาให้ได้มากที่สุด)
"ไม่มีครับ....เพราะผมทำตอนกลางคืนและทำคนเดียวด้วย" เกรียงไกรตอบ
"เข้าตอนกลางคืนและคนเดียว" (ผู้เขียนทวนคำอย่างรู้สึกทึ่งก่อนถาม)
"ใช้วิธีไหนล่ะถึงเข้าไปในพระตำหนักได้?" "มันเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า
และเป็นเรื่องบังเอิญที่ผมเกิดมาจะต้องกระทำความชั่วด้วย... คือมีอยู่วันหนึ่งระหว่างที่ผมยังคงทำความสะอาดพระตำหนักที่ชั้นสอง
ก็มีพวกช่างชาวฟิลิปินส์เขามาซ่อมไฟที่ข้างตึกพระตำหนักพร้อมกับนำบันไดเหล็กมาด้วยเพื่อใช้ปีนซ่อมไฟ
และพอตกเย็นเขาก็เอาบันไดซุกไว้ในซอกพระตำหนักไว้ใช้ทำงานต่อไปในวันรุ่งขึ้น
เมื่อเห็นเช่นนี้ผมก็มีความคิดที่จะหาทางเข้าพระตำหนักให้ได้ ด้วยการอาศัยบันไดเหล็กอันนั้นแหละเป็นสิ่งเบิกทางเพื่อกระทำความชั่ว
และต้องรีบกระทำอีกด้วยเพราะหากช่างฟิลิปินส์ทำงานเสร็จผมก็หมดโอกาสทันที
ดังนั้นผมจึงตัดสินใจเสี่ยงตายด้วยการลอบเข้าพระตำหนักในคืนนั้นเลย
และเมื่อตัดสินใจผมก็เริ่มดำเนินการเอาตอนได้เวลาเลิกงานประมาณ 5 โมงเย็น
ผมก็ทำหน้าทีปิดหน้าต่างทุกบาน ยกเว้นไว้เพียงบานเดียวคือบานที่อยู่ใกล้บันไดเหล็กมากที่สุด
ด้วยการเปิดไว้แค่ครึ่งเดียวพอให้ผมลอดเข้าได้ จากนั้นก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ออกไปจากพระตำหนักพร้อม ๆ เพื่อนคนงานและผู้หญิงชาวซูดานที่เป็นผู้ปิดประตู
เพราะเขาก็ต้องกลับไปที่พักยังนอกเขตพระตำหนักเช่นกัน โดยที่เขาไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าจะมีเหตุร้ายขึ้น
และพอออกมาจากพระตำหนักเจ้าชายแล้ว ผมก็คอยดูว่าจะมีใครเห็นหน้าต่างที่ผมปิดไว้แค่ครึ่งเดียวหรือไม่
ปรากฏว่าไม่มีใครเห็นหรือสนใจ ระหว่างนี้ผมก็เสแสร้งเอาเครื่องมือทำความสะอาดไปเก็บยังเรือนรับรอง
พร้อมถ่วงเวลาให้มืดจึงออกมาตอกบัตรทำทีว่าจะกลับที่พัก ส่วนคนงานอื่น
ๆ เขาทยอยกลับไปก่อนผมหมดแล้ว และพอตอกบัตรผมก็ย้อนกลับมายังเรือนรับรองเข้าไปซ่อนตัวในนั้น
รอคอยเวลาที่จะเข้าไปในพระตำหนักในตอนกลางคืน" "เดี๋ยว....เกรียงไกร"
(ผู้เขียนทักท้วงเมื่อเห็นเกรียงไกรจะเล่าต่อพลางถาม "ตอนกลับมาซ่อนตัวในเรือนรับรองพวกยามไม่เห็นหรือ?"
"ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน...แต่ถึงเห็นเขาก็ไม่สงสัยอะไรหรอก เพราะในช่วงนั้นผมจะเข้าออกนอกเขตพระตำหนักยังไงก็ได้
บางคืนผมอยู่รับใช้พวกเจ้านายที่มาสังสรรค์ยังเรือนรับรองดึก ๆ ดื่น
ๆ ต้อนนอนค้างเลยก็มีอยู่เสมอ ๆ" เกรียงไกรตอบยิ้ม ๆ พลางจุดบุหรี่สูบ
ก่อนแจงรายละเอียดเพิ่มเติม "ดูเหมือนว่า ความชั่วร้ายต่าง ๆ
เข้าข้างผมจริง ๆ ผมรอเวลากระทั่งดึกมากจึงย่องออกจากเรือนรับรอง ลัดเลาะไปตามซอกตึกพระตำหนัก
โดยอาศัยเงามืดของต้นไม้เป็นกำบังได้อย่างดี ตรงไปยังที่ซุกบันไดเหล็กของช่างชาวฟิลิปินส์
พร้อมใช้มันพาดไปตรงหน้าต่างที่ผมปิดไว้แค่หครึ่งแล้วทำการปีนบันไดอย่างรวดเร็ว
ลอบเข้าหน้าต่างบานนั้นซึ่งสูงประมาณ 15 เมตรได้อย่างสบายไร้คนอื่นเห็น
จากนั้นรีบปิดหน้าต่างวิ่งลงมายังชั้นล่าง พร้อมเปิดประตูพระตำหนักพอเดินออกได้วิ่งมาเก็บบันไดซุกไว้ที่เดิม
ก่อนวิ่งย้อนเข้าประตูตำหนักทำการปิดให้สนิท เมื่อมาถึงขั้นนี้ผมก็ไม่กลัวใครเห็นอีกแล้ว
เพราะในพระตำหนักตอนนี้มีผมเพียงคนเดียว จึงเดินลอยชายตรงไปยังห้องบรรทมอย่างสะดวกโยธิน
พลางเปิดประตูก้าวไปยังห้องเก็บสมบัติแล้วเปิดตู้เซฟที่ผมเห็นมีเงินอยู่ออก
ล้วงเอาเงินทั้งหมดใส่กระเป๋าก่อนก้าวไปลองเปิดตู้เซฟใบที่สอง ซึ่งตั้งเรียงกันอยู่เพื่อหาเงินอีก
และก็เปิดออกอย่างง่าย ๆ เช่นกันแต่ไม่มีเงินเลย มีแต่พวกเครื่องเพชร
ตุ้มหู ผมจึงก้าวไปเปิดตู้ใบที่สาม ก็เปิดออกโดยไม่ต้องใช้แรงอะไรเหมือนเดิม
ภายในตู้เซฟใบนี้ไม่มีเงิน มีแต่เครื่องเพชรพร้อมนาฬิกาฝังเพชรเต็มไปหมด
ผมก็ยังไม่สนใจอยู่ดีรีบก้าวไปเปิดตู้เซฟใบที่สี่ปรากฏว่าเปิดไม่ออกมันปิดแน่นเพราะล็อกกุญแจไว้
เมื่อเปิดตู้เซฟใบที่สี่ไม่ออก ผมก็เลิกสนใจและไม่คิดจะเปิดด้วย เพราะเรื่องเปิดตู้เซฟนี่ผมไม่มีความรู้เลย
จึงหันมาสนใจพวกเครื่องเพชรในสามตู้แรก เพราะมันเยอะแยะลานตาไปหมด
พลางลองหยิบสร้อยเพชรออกมาดูอย่างอยากรู้ว่าเป็นของจริงหรือของปลม!!
และพอหยิบเครื่องเพชรออกมาดู ผมก็เกิดความรู้สึกอยากได้มาก ช่วงนี้เอง
ความคิดชั่ว ๆ ก็แล่นวูบสู่สมอง พร้อมสั่งการขึ้นว่า "ขนไปให้หมดเอาไปขายต้องได้รวยสมใจแน่
!!"